เล่ากันว่าในครั้งนั้น เจ้าคุณนรฯ สามารถแสดงกายกรรมในท่าที่ยาก ๆ โลดโผนพลิกแพลงต่าง ๆ นานา ได้หลายต่อหลายท่า ดุจดังนักแสดงกายกรรมมืออาชีพ ผู้ชำนาญเวทีเลยทีเดียว
บางครั้งท่านสามารถแสดงการหมุนตัว ในท่านอนกับพื้นราบ แล้วหมุนไปรอบ ๆ โดยใช้ศีรษะกับเท้าทั้งสองข้างยันกับพื้น มือทั้งสองกอดอกแน่นไว้ แล้วก็หมุนตัวกลิ้งกลับไปกลับมา ได้ครั้งละหลาย ๆ นาที
นอกจากนี้ เจ้าคุณนรฯ ยังสามารถบังคับกล้ามเนื้อในร่างกายของท่านได้แทบทุกสัดส่วน โดยทำให้แข็งแกร่งดุจดังไม้กระดานได้อย่างน่าอัศจรรย์
เฉพาะอย่างยิ่ง ท่านสามารถเบ่งลำคอให้พองออกมา จนคอนั้นโตกว่าศีรษะอย่างเห็นได้ชัดชนิดแทบไม่น่าเชื่อในสายตา ดูแล้วน่ากลัวว่าลำคอของท่านยามนั้นจะแตกหรือระเบิดออกไปได้เลยทีเดียว !
เมื่อต้องการจะให้กล้ามเนื้อส่วนใดในร่างกายแข็ง ท่านก็สามารถบังคับเบ่งให้แข็งขึ้นมาได้ในส่วนเฉพาะที่ต้องการ สร้างความประหลาดให้คนดูเป็นอันมาก
หลายครั้งเมื่อมีผู้ไปรุมล้อมตั้งวงดูท่านแสดงกายกรรมดังกล่าว ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นมหาดเล็กด้วยกันทั้งสิ้น ท่านเคยบอกให้ทุกคนได้ทราบว่า
วิชานี้แหละ คือปาหี่บรรดาศักดิ์
แล้วเจ้าคุณนรฯ ก็ยังได้สาธยายสืบต่อไปอีกว่า คนเรานั้นถึงจะมีเงินทองสักเท่าใด ก็ไม่สู้จะมีประโยชน์ เอาไปฝากแบงก์ไว้แบงก์ก็อาจล้มได้ เอาไปซื้อหุ้นใบหุ้นรัฐบาล ก็อาจระส่ำระสายในยามเศรษฐกิจตกต่ำ
เมืองจีนนั้นเล่า ยามจลาจลด้วยสงครามกลางเมือง เอาสตางค์ไปซื้อก๋วยเตี๋ยวกินสักชามหนึ่ง ก็ต้องหอบเอาธนบัตรไปเป็นมัด ๆ แต่วิชานี้แหละไม่มีวันอดตาย
ลงท้ายท่านยังเตือนบรรดาผู้ที่มันเมาประมาทไว้ด้วยว่า วันนี้เป็นเศรษฐี พรุ่งนี้อาจเป็นกระยาจก (มีตัวอย่างครั้งนั้นก็คือประเทศเยอรมัน ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1)
นอกจากนี้ เจ้าคุณนรฯ ท่านยังแสดงความสามารถพิเศษให้ผู้คนทั้งหลายได้ประจักษ์ชัดกันอีกอย่างหนึ่ง กล่าวคือท่านสามารถที่จะบังคับเกร็งกล้ามเนื้อตรงส่วนชายโครง หรือตรงสีข้างของท่านให้แข็งแกร่งทนทานเป็นพิเศษ ดุจดังแผ่นโลหะหรือกระดาน ซึ่งสามารถพิสูจน์กันได้ด้วยการให้ใครก็ได้ลองเตะดู โดยเตะให้เต็มแรง ชนิดที่ไม่ต้องเลี้ยงกันเลยทีเดียว
ผลปรากฏว่า คนที่เตะท่านนั่นแหละ ต้องเจ็บเท้าระบมไปตาม ๆ กัน โดยที่ท่านหาได้สั่นสะเทือนหรือได้รับความเจ็บปวดแต่ประการใดไม่ !
แต่อย่างไรก็ดี โลกนี้อนิจจังทุกคนย่อมมีวันพลาดได้ ดังที่โบราณท่านกล่าวกันมาว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เจ้าคุณนรฯ ก็มีวันพลั้ง โดยพลาดท่าให้มหาดเล็ก เด็กรุ่นน้องเตะผิดจังหวะ ทำเอาเจ้าคุณนรฯ ต้องถึงกับทรุดตัวลงนั่งจุกไปชั่วขณะ !
ที่ว่าเตะ ผิดจังหวะ นั้น ก็คือ ท่านถูกเตะตอนที่ท่านถอนหายใจ หรือหายใจออก ทำให้เกิด จุดอ่อน ต้องเจ็บตัวเสียอานไปเลย !
(ท่านที่เรียนรู้เรื่องอำนาจพลังจิตขั้นต้นมาบ้าง ย่อมจะทราบดีว่า ร่างกายมนุษย์เรานั้นจะมีพลังแข็งแกร่งทนทานเป็นพิเศษตอนหายใจเข้า แล้วมีการกลั้นใจ-อัดลมเข้าไว้ พอปล่อยลม-หายใจออกเมื่อใด พลังก็จะอ่อนขึ้นมาทันที ในการต่อสู้กัน ผู้ที่รู้ จุดอ่อน ในเรื่องนี้ดี จึงมักฉวยโอกาสตอนปรปักษ์หายใจออกนี่เอง แม้วิชาอยู่ยงคงกระพันก็เช่นกัน อำนาจมนต์คาถาจะปรากฏชัดในตอนหายใจเข้า แล้วกลั้นเอาไว้ ดังได้กล่าวมา)
ผู้ที่เตะเจ้าคุณนรฯ จนเจ็บต้องนั่งจุกไปในวันนั้น ก็คือ ม.ร.ว. เฉลิมลาภ ทวีวงศ์ (ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้รับสถาปนาขึ้นเป็น หม่อมทวีวงศ์ถวัลย์ศักดิ์ แล้วได้เป็นเลขาธิการพระราชวัง ในสมัยรัชกาลปัจจุบัน) ซึ่งอายุน้อยกว่าเจ้าคุณนรฯ 4 ปี ได้เสียชีวิตไปก่อนหน้าเจ้าคุณนรฯ เพียง 2 เดือนเศษ (27 ตุลาคม 2513)
ม.ร.ว. เฉลิมลาภ ทวีวงศ์ ขณะนั้นรับราชการเป็นนักเรียนมหาดเล็กรับใช้รุ่นแรก ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เข้ารับราชการภายหลังเจ้าคุณนรฯ 7 เดือน ขณะที่มีอายุได้เพียง 14 ปี จึงยังเป็นนักเรียนอยู่ และเป็นมหาดเล็กรับใช้ด้วย ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 7 คน
ม.ร.ว. เฉลิมลาภฯ ปฏิบัติหน้าที่ถวายการรับใช้ทุกอย่าง ในขณะที่ยังไม่เสด็จลงและเมื่อเสด็จขึ้นแล้วก็ยังต้องอยู่เฝ้าถวายการรับใช้เบื้องพระยุคลบาทอยู่อีก เปรียบเสมือนเป็นผู้ช่วยมหาดเล็กห้องพระบรรทม จึงเป็นเหตุให้ได้รู้จักมักคุ้นกับเจ้าคุณนรฯ ได้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้ ม.ร.ว. เฉลิมลาภ ทวีวงศ์ (หรือหม่อมทวีวงศ์ถวัลย์ศักดิ์ในกาลต่อมา) จึงได้มีโอกาสได้ชมการแสดง ปาหี่บรรดาศักดิ์ ของเจ้าคุณนรฯ ในครั้งนั้นด้วยเป็นประจำ แล้วยังเป็นผู้หนึ่งซึ่งได้มีโอกาสพิสูจน์ความแข็งแกร่งร่างกายที่เหนือมนุษย์ธรรมดาสามัญของเจ้าคุณนรฯ ในครั้งนั้นด้วย
การที่เจ้าคุณนรฯ สามารถแสดงกายกรรมท่ายาก ๆ แปลก ๆ ได้อย่างน่าพิศวง ต่าง ๆ นานานี้ ท่านเคยกล่าวว่าสำเร็จได้ด้วยอำนาจจิต จากการฝึกตามลัทธิโยคีทั้งสิ้น
โดยเหตุที่เจ้าคุณนรฯ ท่านมีความสามารถประหลาด เหนือมนุษย์ธรรมดาสามัญโดยทั่วไปดังที่ได้กล่าวมานี้ จึงได้มีผู้กล่าวกันว่าในสมัยที่ยังเป็นฆราวาสอยู่นั้น ท่านเจ้าคุณนรฯ เป็นชายหนุ่มที่มีร่างกายแข็งแรงที่สุดอย่างที่ไม่มีใครสู้ได้เลยทีเดียว
นอกจากจะได้ฝึกหัดกายบริหารตามแบบโยคะอย่างจริงจริง และตั้งหน้าเพาะกาย สร้างความสมบูรณ์ให้แก่กล้ามเนื้อ จนก้าวล้ำหน้าบุคคลโดยทั่วไปแล้ว เจ้าคุณนรฯ ครั้งนั้นยังได้ว่าจ้างครูบาอาจารย์ผู้ชำนาญ ในวิชาศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่า มาฝึกสอนและฝึกซ้อมให้แก่ท่าน เป็นการเฉพาะส่วนตัวอีกด้วย ได้แก่ วิชามวยไทย มวยสากล ยูโด ฯลฯ
จนกล่าวได้ว่าเจ้าคุณนรฯ ในขณะนั้น ท่านมีคุณสมบัติเป็นชายชาตรีอย่างสมบูรณ์ จนดูแตกต่างห่างไกลจากครั้งก่อนเก่า ราวกับเป็นคนละคนเลยทีเดียว !
............................................