พระสาวกของพระพุทธเจ้า
" ประสก "
(จาก สยามรัฐรายวัน ฉบับที่ 8 กรกฎาคม 2515)
.เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านเป้นพระสงฆ์วัดธรรมยุตส่วนผุ้เขียนสมัยบวชอยู่ในวัดพระสงฆ์มหานิกายยังรู้จักท่านดี ได้กลิ่นศีลกลิ่นคุณงามความดีของท่านมาตั้งแต่สมัยบวชเป็นสามเณร เพราะได้อ่านศึกษาผลงานของท่าน และหนังสือ ที่ท่านเขียน แม้ทุกวันนี้ยามถูกกระแสความทุกข์ของโลกเข้าครอบงำจิตใจ ยังหยิบหนังสือที่ท่านแปลไว้มาอ่าน หนังสือนั้นคือมหาสติปัฏฐานสูตรแปล
.
รูปที่นำมาลงประกอบเรื่องข้างวัดวันนี้ดังที่เห็นอยู่นั้นคือรูปฉาย ฉายเมื่อปี พ.ศ.เท่าไรไม่ทราบได้ของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ) ญาณวโร อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส
เหตุที่นำภาพฉายและเรื่องราวของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ผู้เป็นพระสงฆ์มหาเถระมาลงในที่นี้เพราะเหตุ 2 ประการคือ
1. ทราบว่าระหว่างวันที่ 8-9 เดือนนี้ คือวันนี้และวันอาทิตย์พรุ่งนี้ยุวพุทธิสมาคมชลบุรี ร่วมกับวัดเขาบางทรายจะจัดงานครบ 100 ปี ตั้งแต่ท่านเกิดมาเพื่อระลึกถึงท่านขึ้นที่วัดเขาบางทราย ชลบุรี
2. ระลึกถึงท่าน ในฐานะพุทธศาสนิกชนคนหนึ่งซึ่งเคยทราบผลงานของท่านที่มีต่อพระศาสนาและบ้านเมือง และในฐานะที่รู้จักท่านโดยการได้อ่านหนังสือที่ท่านรจนา
พระพุทธเจ้าท่านว่ากลิ่นหอมของธรรมชาตินั้นหอมไปได้แต่ตามลม หอมทวนลมไม่ได้แต่กลิ่นศีลของผู้ทรงศีล ทรงคุณงามความดีย่อมอบอวลไปได้ทั้งตามลมและทวนลม
เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านอยู่ในฐานะอย่างพระพุทธเจ้าท่านว่านี้ เพราะท่านเป็นที่รู้จักกันดี ทั้งในวงการสงฆ์ วงการพระศาสนา และวงการบ้านเมืองในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่และแม้ในสมัยที่ท่านมรณภาพไปแล้ว คือทุกวันนี้ ผู้ที่รู้จักท่านดีมีทุกชั้น ตั้งแต่องค์พระมหากษัตริย์ลงมาถึงเจ้านายทุกพระองค์ และประชาชนทุกระดับตลอดถึงพระสงฆ์ในเมืองไทยทุกนิกาย
เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านเป็นพระสงฆ์วัดธรรมยุติ ส่วนผู้เขียนสมัยบวชอยู่ในวัดพระสงฆ์มหานิกายยังรู้จักท่านดี ได้กลิ่นศีลกลิ่นคุณงามความดีของท่านมาตั้งแต่สมัยบวชเป็นสามเณร เพราะได้อ่านศึกษาผลงานของท่าน และหนังสือที่ท่านเขียน แม้ทุกวันนี้ยามถูกกระแสความทุกข์ของโลกเข้าครอบงำจิตใจ ยังหยิบหนังสือที่ท่านแปลไว้มาอ่าน หนังสือนั้นคือมหาสูติปัฏฐานสูตรแปล
อ่านแล้วความทุกข์ที่พองคับอกเหมือนฝีใหญ่ใกล้จะแตกก็ยวบก็ยุบลง บรรเทาลง
เจ้าประคุณสมเด็จฯ นามเดิมท่านชื่อเจริญท่านเกิดเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2415 ในสมัยรัชกาลที่ 5 มรณภาพ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2494 พรรษา 59 อายุได้ 80 ปี เท่าพระชนมายุของพระพุทธเจ้าพอดี
ท่านเกิดที่ตำบลตลาดกลาง อำเภอบางปลาสร้อย จังหวัดชลบุรี ตอนมรณภาพท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิริน- ทราวาส
ปีที่ท่านเกิดโยมมารดาท่านฝันว่ามีผู้นำช้างเผือกมาให้ ในปีที่ท่านบวชเณรแล้วจะเข้ามาศึกษาอยู่ที่วัดราชบพิธ อยู่กับท่านพระครูวินัยธรฉาย ท่านพระครูก็ฝันก่อนถึงวันท่านมาอยู่ว่ามีผู้นำช้างเผือกมาถวายท่าน
เมื่อท่านศึกษาพระไตรปิฎกแตกฉานขึ้น สอบไล่ภาษาบาลีในมหามกุฏราชวิทยาลัยได้ที่ 1 ทุกปีจนถึงเป็นเปรียญ 7 ประโยค สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ออกพระโอษฐ์รับสั่งกับพระสงฆ์ผู้เป็นอาจารย์สอนบาลีให้ท่านว่า มอมช้างเผือกส่งเข้ามา
เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ที่แตกฉานพระไตรปิฎก มีความสามารถในการบริหารกิจการ คณะสงฆ์ มีปฏิทาน่าเลื่อมใสที่เมื่อเทวดาและมนุษย์ได้เข้าใกล้เข้าหาแล้วศรัทธายิ่งนักมีความรู้ลึกซึ้งในเรื่องพระศาสนา เป็นองค์พระธรรมกถึกที่มีชื่อเสียง
เป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่ถวายมงคลวิเสสกถาแด่พระเจ้าอยู่หัวของไทยยาวนานที่สุดถึง 25 ปี คือตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 6 ถึงที่ 7 ที่ 8 และในรัชกาลปัจจุบันอีกถึง 2 ปี
มงคลวิเสสกถา คือพระธรรมเทศนาพิเศษซึ่งพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ เช่น สมเด็จพระสังฆราช หรือสมเด็จพระราชาคณะเป็นต้น ถวายแด่สมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน โดยพรรณนาพระราชจรรยาเพื่อให้ทรงพิจารณาแล้วเกิดพระปิติปราโมทย์ในพระราชกุศล และพระราชกรณียกิจที่ทรงบำเพ็ญในโอกาสสำคัญพิเศษ เช่น วันเฉลิมพระชนมพรรษา
เจ้าประคุณสมเด็จฯ ทำหน้าที่ถวายพระธรรมเทศนามงคลวิเสสกถาอยู่ถึง 25 ปี จึงลาออกจากหน้าที่นี้เพราะความชรา
ประโยชน์ที่ท่านบำเพ็ญแก่พระศาสนา และบ้านเมืองมีมากสุดวิสัยที่จะนำมาบรรยายในเนื้อที่จำกัดนี้ให้ครบถ้วนได้ เอาแต่ที่เด่นๆ ที่ควรทราบก็แล้วกัน คือท่านเป็นพระสงฆ์จริงๆ สงฆ์ตามแบบพระสาวกของพระพุทธเจ้าโดยแท้ ความแท้จริงแห่งความเป็นสงฆ์ของท่านนอกจากความเคร่งครัดในปฏิทาส่วนตัวท่านแล้วก็คือ ความเป็นผู้เสียสละเป็นผู้ให้ถ่ายเดียว
ตึกผ่าตัดโรงพยาบาลชลบุรีที่เห็นอยู่ทุกวันนี้นั้นท่านเป็นผู้สร้างให้ ท่านสร้างอะไรต่ออะไรอีกมาก
ใครถวายอะไรมาท่านก็แจกพระแจกเณร ท่านพิมพ์หนังสือแจกทั่วเมืองไทย 4 แสนเล่ม
ที่ผู้เขียนอยู่ที่วัดมหานิกายได้อ่านหนังสือก็เพราะเมตตาของท่านนี่เอง
เมื่อท่านมรณภาพลงแล้วปรากฏว่าไม่มีจตุปัจจัยส่วนตัวของท่านเหลืออยู่เลย
ที่พระพุทธเจ้าท่านว่าพระสงฆ์สาวกที่แท้ของพระองค์เป็นผู้อัญชลีกรณีโย คือน่ากราบน่าไหว้นั้นเป็นอย่างนี้เอง
...................................................................................