เรื่องศิษย์รับใช้นั้น ความจริงเมื่อท่านบวชใหม่ ๆ ท่านมีเหมือนกัน แต่ก็เพียงคนเดียว เป็นเด็กอายุ 12-13 มาจากชนบท ชื่อเด็กชายเปี่ยม ซึ่งซัดเซพเนจรมาพำนักอยู่แถวบ้านของท่าน เมื่อท่านบวชได้สมัครเป็นศิษย์ เป็นเด็กที่มีร่างแกร็นเล็กนิดเดียวไม่สมอายุ ผิวดำมะเมื่อม พระคุณเจ้ามอบหน้าที่ให้ทำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือตอนเช้าไปรองน้ำประปาที่ก๊อกกลางซึ่งมีอยู่สองก๊อกหิ้วมาใส่โอ่งหลังกุฏิ เพราะในสมัยพระคุณเจ้าบวชใหม่ ๆ กุฏิสงฆ์วัดเทพศิรินทร์ ยังไม่มีก๊อกน้ำประปาประจำเฉพาะ ในตอนเช้าพวกศิษย์ทุกกุฏิต้องพากันไปรองที่ก๊อกกลางหิ้วมาใส่โอ่งที่กุฏิ แต่เมื่อไปรองในเวลาเดียวกันจึงมีการแย่งกันรองเป็นโกลาหล อันเป็นเหตุให้เกิดทะเลาะวิวาทชกต่อยกันอยู่เสมอ
ด.ช. เปี่ยม เป็นคนหน้าใหม่มาแล้วก็ตัวเล็กกว่าพวกหน้าเก่าทั้งหมด จึงถูกพวกหน้าเก่าข่มและกีดกันทั้งที่ถึงตาจะได้รอง แต่เขาเป็นเด็กชนิดเล็กพริกขี้หนูจึงไม่ยอมให้ข่ม จึงชกทุกคนที่ข่มและกีดกัน แล้วก็ชกเก่งอย่างมหัศจรรย์เสียด้วย ไม่ว่าจะโตกว่าตั้งเท่าตัวก็ปากแตกหน้าตาปูดทุกคน คนที่ไม่ได้ชกต่อยกับเด็กชายเปี่ยมก็ส่งเสียงหนุนกันเกรียวกราวด้วยความสนุก แต่เป็นที่หนวกหูพระสงฆ์องค์เจ้าอย่างยิ่ง พระคุณเจ้าเห็นเหตุการณ์ตลอดโดยมองจากหน้าต่างกุฏิชั้นบน จึงว่ากล่าวห้ามปราม ด.ช. เปี่ยมไม่ให้ทำเช่นนั้นอีก ด.ช. เปี่ยมก็รับคำ แต่เหตุการณ์เช่นนั้นก็ยังเกิดขึ้นอีก เพราะพวกศิษย์พระอื่น ๆ ยังไม่ยอมระงับการข่มและกีดกัน และ ด.ช. เปี่ยมก็เหลืออด ในที่สุดพระคุณเจ้าจึงตัดความรำคาญด้วยการอัปเปหิ ด.ช. เปี่ยมไปเสีย แล้วท่านก็ไปรองหิ้วมาใส่โอ่งไว้ใช้ด้วยตนเอง โดยเลือกเวลาตอนเช้ามืดหรือพลบค่ำซึ่งเป็นเวลาที่ไม่มีใครมารอง และท่านปฏิบัติเช่นนี้ไม่ใช่เพียงชั่ววันสองวัน แต่ได้ปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวันตลอดมาจนกระทั่งทางวัดจัดเดินท่อประปาให้ทุกกุฏิซึ่งเป็นเวลาสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติ เมื่อท่านอัปเปหิเด็กชายเปี่ยมไปแล้ว ท่านก็ไม่หาศิษย์อีกจนกระทั่งกาลมรณภาพ
......................................